The Racing Car Team Project

14 ก.ย. 2550

เกร็ดความรู้น้ำมันเครื่องสำหรับรถเบนซิน

จากการอ่าน และหาข้อมูลจากหลายๆที่ของผม ทั้งเว็บของไทยและต่างประเทศ
ก็ได้สรุปข้อมูลคร่าวๆ เพื่อให้ คนที่ยังรู้น้อยหน่อยหรือยังไม่รู้ที่ผ่านมาได้เข้าใจ
และเลือกน้ำมันเครื่องได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น

น้ำมันเครื่องที่มีขายอยู่ในบ้านเราก็มีมากมายหลายยี้ห้อ หลายแบบ หลายเกรด หลายๆคนก็คงงง
ผมเองก็เคยงงมาก่อนเช่นกัน

จึงสรุปออกมาได้นะครับ ว่าหลักๆ แล้วการเลือกใช้น้ำมันเครื่องสามารถพิจารณาได้ 3 หัวข้อหลักๆ คือ
1. ชนิดของน้ำมันเครื่อง
2. ค่าความหนืด
3. เกรดน้ำมันเครื่อง

1. ชนิดของน้ำมันเครื่อง
ชนิดของน้ำมันเครื่อง จะเป็นตัวบ่งบอกถึงอายุการใช้งานว่ามีอายุกี่กิโลเมตร ต้องเปลี่ยนถ่ายเมื่อไร
น้ำมันเครื่องมีอยู่ 3 ชนิด คือ 1) น้ำมันเครื่องทั่วไป (Mineral oils) ซึ่งได้จากการกลั่นน้ำมันดิบ
2) แบบสังเคราะห์ (Synthetic oils) เป็นน้ำมันเครื่องที่สังเคราะห์ขึ้น มีคุณสมบัติพิเศษกว่าน้ำมันเครื่องทั่วไป และ 3) กึ่งสังเคราะห์ (Semi-Synthetic oils) ซึ่งน้ำมันเครื่องทั่วไปมาผสมกับน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ เพื่อเพิ่มคุณสมบัติพิเศษบางอย่าง โดยมีราคาถูก น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ จะมีราคาแพงกว่าน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ และน้ำมันเครื่องทั่วไปมาก แต่ก็มีอายุการใช้ที่ยาวนานกว่า ดังนั้นคงต้องคำนวณกันเอาเองว่าแบบไหนจะคุ้มกว่ากัน
โดยทั่วไปน้ำมันเครื่องสังเคราะห์จะมีอายุการใช้งานประมาณ 10,000 กิโลเมตร

2. ค่าความหนืด
ตัวเลขที่เห็นๆ กันข้างกระป๋องว่า 0w-40, 5w-40, 10w-50 เลขนี้คือค่าความหนืดของน้ำมันเครื่อง ซึ่งระบุโดย สมาคมวิศวกรยานยนต์ (Society of Automotive Engineers, SAE) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเกรดของน้ำมันเครื่องสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ แบบเกรดเดียว (Single grade) ที่เป็นเลขเดี่ยว เช่น 30, 40, 50 และแบบเกรดรวม (Multi grade) เช่น 0w-40
ค่าความหนืดที่น้อยกว่า จะมีตัวเลขน้อยกว่า เช่น 40 จะมีความหนืดน้อยกว่า 50 หรือเรียกง่ายๆ ว่าใสกว่านั่นเอง
เลขชุดหน้าที่เป็น 0w อักษร "w" หมายถึง "Winter" หรือฤดูหนาวนั่นเอง ซึ่งในการทดสอบจะทดสอบที่อุณหภูมิ -18 องศาเซลเซียส ดังนั้นในประเทศไทยจึงไม่จำเป็นต้องใส่ใจตัวเลขชุดหน้านัก เพราะเราเป็นประเทศเมืองร้อนอยู่แล้ว ให้สนใจเพียงเลขชุดหลัง โดยจะใช้เท่าไหร่สามารถดูได้จากคู่มือรถก็ได้
แต่หากเราไม่รู้จริงๆ โดยทั่วไปรถที่เครื่องยนต์ยังใหม่อยู่ สามารถใช้ได้ที่เลข 30-40 ส่วนรถที่เครื่องยนต์หลวมหน่อย หรือสภาพเริ่มเก่าแล้ว ก็ให้ใช้ที่ 40-50 โดยสามารถสังเกตุได้จากการพร่องของน้ำมันเครื่อง



3. เกรดของน้ำมันเครื่อง
เกรดของน้ำมันเครื่องจะเป็นตัวบ่งบอกถึงการใช้งานของน้ำมันเครื่อง
จริงๆ แล้วเกรดของน้ำมันเครื่องนั้นแบ่งได้ตามหลายๆ มาตรฐาน แต่ที่ใช้กันแพร่หลายคือ มาตรฐาน API (American Petroleum Institute) ซึ่งจะเป็นตัวอักษร 2 ตัว เช่น SA, SJ, SM, SL เป็นต้นสำหรับน้ำมันเครื่องรถเบนซิน เกรดของน้ำมันเครื่องถูกพัฒนามาตั้งแต่เกรด SA ในปี 1940 และพัฒนามาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันที่ใช้อยู่จะมีเพียง 3 เกรด คือ SJ, SL และ SM โดย SJ ถูกใช้กับรถยนต์ตั้งแต่ปี 1996 SL ถูกใช้กับรถยนต์ตั้งแต่ปี 1998 และ SM ซึ่งเป็นเกรดสูงสุดขณะนี้ ถูกใช้กับรถยนต์ตั้งแต่ปี 2004
ซึ่งเวลาเลือกซื้อก็ควรสังเกต เกรด API ไว้ด้วย โดยไล่จากเกรดสูงสุดคือ SM>SL>SJ ทั้งนี้ก็อย่าลืมดูจากคู่มือรถด้วยนะครับ

จริงๆ เนื้อหาคงละเอียดกว่านี้ แต่ด้วยความตั้งใจให้คนที่รู้ไม่มากได้อ่านเข้าใจง่ายในเบื้องต้น
ก่อนที่จะไปต่อยอดหารายละเอียดเพิ่มขึ้นทีหลัง คิดว่าเท่านี้ก็สามารถนำไปเลือกซื้อน้ำมันเครื่องได้ดีในระดับนึงแล้ว

ขอบคุณครับ

Either
14 Sep 07

5 ก.ย. 2550

Welcome to Speed Signal , The Racing Car Team Project

ยินดีต้อนรับครับ

ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ด้วยความเพ้อเจ้อ จึงอยากทำ blog

ที่ใส่เรื่องราวของรถยนต์ ที่มีสาระ แต่ตามใจเจ้าของ

โดยชื่อ Speed Signal จะเป็นชื่อทีมที่จะตั้งขึ้นในอนาคตอันใกล้ ตั้งแบบขำๆ ไม่เน้นแรง แต่เน้นฮา

ด้วยความรู้ที่ไม่ค่อยมี อาศัยเพียงใจรัก จะพยายามหาอะไรๆ น่าสนใจมาใส่เรื่อยๆ

ไม่รู้ว่าจะมีใครหลงเข้ามาบ้างหรือป่าว ถ้าใครหลงเข้ามา ก็ฝากติดตามเรื่อยๆนะครับ

ขอบคุณครับ