จากการอ่าน และหาข้อมูลจากหลายๆที่ของผม ทั้งเว็บของไทยและต่างประเทศ
ก็ได้สรุปข้อมูลคร่าวๆ เพื่อให้ คนที่ยังรู้น้อยหน่อยหรือยังไม่รู้ที่ผ่านมาได้เข้าใจ
และเลือกน้ำมันเครื่องได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น
น้ำมันเครื่องที่มีขายอยู่ในบ้านเราก็มีมากมายหลายยี้ห้อ หลายแบบ หลายเกรด หลายๆคนก็คงงง
ผมเองก็เคยงงมาก่อนเช่นกัน
จึงสรุปออกมาได้นะครับ ว่าหลักๆ แล้วการเลือกใช้น้ำมันเครื่องสามารถพิจารณาได้ 3 หัวข้อหลักๆ คือ
1. ชนิดของน้ำมันเครื่อง
2. ค่าความหนืด
3. เกรดน้ำมันเครื่อง
1. ชนิดของน้ำมันเครื่อง
ชนิดของน้ำมันเครื่อง จะเป็นตัวบ่งบอกถึงอายุการใช้งานว่ามีอายุกี่กิโลเมตร ต้องเปลี่ยนถ่ายเมื่อไร
น้ำมันเครื่องมีอยู่ 3 ชนิด คือ 1) น้ำมันเครื่องทั่วไป (Mineral oils) ซึ่งได้จากการกลั่นน้ำมันดิบ
2) แบบสังเคราะห์ (Synthetic oils) เป็นน้ำมันเครื่องที่สังเคราะห์ขึ้น มีคุณสมบัติพิเศษกว่าน้ำมันเครื่องทั่วไป และ 3) กึ่งสังเคราะห์ (Semi-Synthetic oils) ซึ่งน้ำมันเครื่องทั่วไปมาผสมกับน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ เพื่อเพิ่มคุณสมบัติพิเศษบางอย่าง โดยมีราคาถูก น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ จะมีราคาแพงกว่าน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ และน้ำมันเครื่องทั่วไปมาก แต่ก็มีอายุการใช้ที่ยาวนานกว่า ดังนั้นคงต้องคำนวณกันเอาเองว่าแบบไหนจะคุ้มกว่ากัน
โดยทั่วไปน้ำมันเครื่องสังเคราะห์จะมีอายุการใช้งานประมาณ 10,000 กิโลเมตร
2. ค่าความหนืด
ตัวเลขที่เห็นๆ กันข้างกระป๋องว่า 0w-40, 5w-40, 10w-50 เลขนี้คือค่าความหนืดของน้ำมันเครื่อง ซึ่งระบุโดย สมาคมวิศวกรยานยนต์ (Society of Automotive Engineers, SAE) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเกรดของน้ำมันเครื่องสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ แบบเกรดเดียว (Single grade) ที่เป็นเลขเดี่ยว เช่น 30, 40, 50 และแบบเกรดรวม (Multi grade) เช่น 0w-40
ค่าความหนืดที่น้อยกว่า จะมีตัวเลขน้อยกว่า เช่น 40 จะมีความหนืดน้อยกว่า 50 หรือเรียกง่ายๆ ว่าใสกว่านั่นเอง
เลขชุดหน้าที่เป็น 0w อักษร "w" หมายถึง "Winter" หรือฤดูหนาวนั่นเอง ซึ่งในการทดสอบจะทดสอบที่อุณหภูมิ -18 องศาเซลเซียส ดังนั้นในประเทศไทยจึงไม่จำเป็นต้องใส่ใจตัวเลขชุดหน้านัก เพราะเราเป็นประเทศเมืองร้อนอยู่แล้ว ให้สนใจเพียงเลขชุดหลัง โดยจะใช้เท่าไหร่สามารถดูได้จากคู่มือรถก็ได้
แต่หากเราไม่รู้จริงๆ โดยทั่วไปรถที่เครื่องยนต์ยังใหม่อยู่ สามารถใช้ได้ที่เลข 30-40 ส่วนรถที่เครื่องยนต์หลวมหน่อย หรือสภาพเริ่มเก่าแล้ว ก็ให้ใช้ที่ 40-50 โดยสามารถสังเกตุได้จากการพร่องของน้ำมันเครื่อง
3. เกรดของน้ำมันเครื่อง
เกรดของน้ำมันเครื่องจะเป็นตัวบ่งบอกถึงการใช้งานของน้ำมันเครื่อง
จริงๆ แล้วเกรดของน้ำมันเครื่องนั้นแบ่งได้ตามหลายๆ มาตรฐาน แต่ที่ใช้กันแพร่หลายคือ มาตรฐาน API (American Petroleum Institute) ซึ่งจะเป็นตัวอักษร 2 ตัว เช่น SA, SJ, SM, SL เป็นต้นสำหรับน้ำมันเครื่องรถเบนซิน เกรดของน้ำมันเครื่องถูกพัฒนามาตั้งแต่เกรด SA ในปี 1940 และพัฒนามาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันที่ใช้อยู่จะมีเพียง 3 เกรด คือ SJ, SL และ SM โดย SJ ถูกใช้กับรถยนต์ตั้งแต่ปี 1996 SL ถูกใช้กับรถยนต์ตั้งแต่ปี 1998 และ SM ซึ่งเป็นเกรดสูงสุดขณะนี้ ถูกใช้กับรถยนต์ตั้งแต่ปี 2004
ซึ่งเวลาเลือกซื้อก็ควรสังเกต เกรด API ไว้ด้วย โดยไล่จากเกรดสูงสุดคือ SM>SL>SJ ทั้งนี้ก็อย่าลืมดูจากคู่มือรถด้วยนะครับ
จริงๆ เนื้อหาคงละเอียดกว่านี้ แต่ด้วยความตั้งใจให้คนที่รู้ไม่มากได้อ่านเข้าใจง่ายในเบื้องต้น
ก่อนที่จะไปต่อยอดหารายละเอียดเพิ่มขึ้นทีหลัง คิดว่าเท่านี้ก็สามารถนำไปเลือกซื้อน้ำมันเครื่องได้ดีในระดับนึงแล้ว
ขอบคุณครับ
Either
14 Sep 07
The Racing Car Team Project
14 ก.ย. 2550
5 ก.ย. 2550
Welcome to Speed Signal , The Racing Car Team Project
ยินดีต้อนรับครับ
ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ด้วยความเพ้อเจ้อ จึงอยากทำ blog
ที่ใส่เรื่องราวของรถยนต์ ที่มีสาระ แต่ตามใจเจ้าของ
โดยชื่อ Speed Signal จะเป็นชื่อทีมที่จะตั้งขึ้นในอนาคตอันใกล้ ตั้งแบบขำๆ ไม่เน้นแรง แต่เน้นฮา
ด้วยความรู้ที่ไม่ค่อยมี อาศัยเพียงใจรัก จะพยายามหาอะไรๆ น่าสนใจมาใส่เรื่อยๆ
ไม่รู้ว่าจะมีใครหลงเข้ามาบ้างหรือป่าว ถ้าใครหลงเข้ามา ก็ฝากติดตามเรื่อยๆนะครับ
ขอบคุณครับ
ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ด้วยความเพ้อเจ้อ จึงอยากทำ blog
ที่ใส่เรื่องราวของรถยนต์ ที่มีสาระ แต่ตามใจเจ้าของ
โดยชื่อ Speed Signal จะเป็นชื่อทีมที่จะตั้งขึ้นในอนาคตอันใกล้ ตั้งแบบขำๆ ไม่เน้นแรง แต่เน้นฮา
ด้วยความรู้ที่ไม่ค่อยมี อาศัยเพียงใจรัก จะพยายามหาอะไรๆ น่าสนใจมาใส่เรื่อยๆ
ไม่รู้ว่าจะมีใครหลงเข้ามาบ้างหรือป่าว ถ้าใครหลงเข้ามา ก็ฝากติดตามเรื่อยๆนะครับ
ขอบคุณครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)